เรื่องราวของผม ผ่านสายตา และความคิด ผ่านลงบนแป้นพิมพ์ เป็นเรื่องราวที่เรียบเรียงบนหน้าเวป
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555
เมื่อพี่ดี้ เขียนถึงพี่เต๋อ
พอดีผมไปอ่านเจอบทความหนึ่ง เป็นเรื่องราวของพี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ที่เขียนเล่าเรื่องของพี่เต๋อ เรวัต พุทธินันท์ เลยขออนุญาติ นำมาแปะคัดลอกเพื่อเก็บไว้อ่านเอง หรือให้กับคนที่สนใจอยากอ่านนะครับ
ประการหนึ่ง ถ้าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ ก็ขออภัย ขอให้แจ้งมาได้นะครับ แต่เจตนาคือ ต้องการแชร์เรื่องราวของพี่เต๋อให้กับคนรุ่นหลังได้รับรู้ เพื่อให้รู้ว่า ครั้งหนึ่ง ผู้ชายที่ชื่อ พี่เต๋อ เป็นคนยังไง ใช้ชีิวิตอย่างไร และทำยังไง ถึงได้ประสบความสำเร็จ และยังพาให้คนอื่นอีกมากมายได้ประสบความสำเร็จตามไปด้วย .. และเพื่อเป็นการระลึกถึง พี่เต๋อด้วยครับ
-----------------------------------------------------------------
ห้องนี้ของพี่ใหญ่
โดย นิติพงษ์ ห่อนาค
เรวัต พุทธินันทน์
ชื่อนี้เป็นชื่อของพี่เต๋อของผม
และพี่เต๋อของอีกหลาย ๆ คนจำนวนนับพันนับร้อย นับแสนนับล้าน
หลาย ๆ คนรักพี่เต๋อมาก
โดยเฉพาะสื่อมวลชนหลายแขนง ถึงกับขนานนามใหม่ต่าง ๆ นานา
เช่น เรวัติ พุทธินันท์ บ้าง เรวัตร พุฒินันทน์ บ้าง
หลายครั้งก็มีมากกว่านี้ ที่สะกดชื่อพี่เต๋อได้อย่างพิสดารพันลึก
แม้กระทั่งคนภายในบริษัทแกรมมี่เอง
ก็ตั้งชื่อใหม่ให้พี่เต๋ออยู่บ่อย ๆ
จนแทบจำไม่ได้แน่ว่า ชื่อพี่เต๋อจริง ๆ นั้น เขียนว่าอย่างไร
เรวัต พุทธินันทน์
มึงจำไว้ ถ้าพวกมึงเขียนชื่อกูผิด แล้ว
กูคงไม่มีหวังจะให้ใครเขียนชื่อกูถูก
เรวัต ไม่มีสระอิ
พุทธินันทน์ สะกดแบบพุทธะ นัน มีทอ นอ
ขอให้จำแค่นั้นพอ
เรวัต พุทธินันทน์
ชื่อนี้ผมได้เห็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์
ตอนประมาณผมอยู่ปีหนึ่งที่สถาปัตย์ ลาดกระบัง
อายุประมาณสิบเจ็ด เวลาประมาณพ.ศ.2520
ขณะนั้นผมเริ่มหัดเล่นกีตาร์ได้สองปี
เล่นฆ้องวงได้สามปี และเล่นระนาดได้สี่ปี
ผมรับรู้เรื่องราว ความเป็นไปของวงดิอิมพอสสิเบิลมาตลอดทาง
รู้ว่า คอร์ดของพี่ ๆ นี่จับบนคอกีตาร์ยากชิบฮ๋าย
เพิ่งเรียนรู้คอร์ดซี เอไมเนอร์ เอฟ จีเซเว่น มาปีเดียว
ต้องมานั่งพยายามจับคอร์ด ดิมินิช
ออกเมนเตด บวกสิบเอ็ด บวกสิบสาม
เล่นไปโกรธไป แต่พอเล่นตามได้แล้วเสียงเหมือน
ก็ดีใจเกือบต้องฉลองกับเพื่อน
พี่ปราจิณ ทรงเผ่าครับ
พี่ทำบาปไว้กับพวกเด็กๆ อย่างเราสมัยนั้นไว้เยอะนะ
แต่เป็นบาปฉาบบนกองบุญอันใหญ่หลวงนัก
เมื่อเวลาเปลี่ยนที ่อิมพอสสิเบิลต้องเปลี่ยน
มีชื่อคนใหม่เข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรวัต พุทธินันทน์
ซึ่งเข้ามาร้องเพลงฝรั่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ผมได้เห็นชายหนุ่มร่างเท่ ผมยาว ไว้หนวด
ร้องเพลงฟังกี้ เล่นคีย์บอร์ด
กลายเป็นอีกยุคหนึ่งของอิมพอสสิเบิ ล ช่วงต่อกับเดอะ ฮอท เปปเปอร์
ตามข่าวอยู่ตลอดว่า
พากันไปเล่นอวดฝีมือกันที่เมืองฝรั่งมังค่า ฮาวาย ยุโรป
เป็นที่ภูมิใจกับเด็ก ๆ จำนวนมาก
ที่ใส่ใจเรื่องราว สู่ยุคโอเรียนเต็ล ฟังก์
ที่เรวัต เริ่มมีบทบาท
เล่นเพลงที่คนไทยเข้าใจน้อย แต่มีการพัฒนามาก
ตามโรงแรมหรู ๆ ต่าง ๆ ผมก็ยังห่างไกล ไม่มีตังค์ไปดูแน่นอน
มีบางครั้งที่เห็น เรวัต ไปเล่นอย่างอื่นนอกจากดนตรี
เช่น ละครทีวี หนังใหญ่
ผมเคยดูทีวียังจำติดตา ทางช่องสาม
ชื่อเรื่อง สงครามพิศวาส หรือ อะไรทำนองนี้
นางเอกคือ คุณภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ (ขณะนั้น)
เป็นฉากกำลังแนะนำตัวละครคนใหม่
ในบท นางเอกก็พูดประมาณว่า " ฉันได้เจอชายคนหนึ่ง
ซึ่งเวลาเขายิ้ม เขายิ้มทั้งใบหน้า สายตาก็ยิ้มไปด้วย "
จากนั้นกล้องก็ตัดไปยังที่ เรวัต ยืมยิ้มเผล่ ตาหยี
ตอนนั้นในใจผมหัวเราะก๊าก โธ่ นึกว่าใคร อีตาเต๋อนี่เอง
จากนั้นมา ผมก็ไม่ได้เห็นคนชื่อเรวัต
ทำอะไรให้ประชาเยาวชนอย่างผมเห็นอีกมากนัก
มีโผล่มาครั้งหนึ่ง จากหนังเรื่องเพื่อน หรือไง ผมจำไม่ได้
( ผมกำลังหัดเป็นอัลไซเมอร์อยู่)
จนมาถึงเรื่องน้ำพุที่แสดงเป็นน้าแพ็ท
ในเวลานั้นผมกำลังถามตัวเอง
ส่งต่อไปถึงชายคนที่ชื่อเรวัต ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ไม่กี่ปีนักต่อจากนั้น
ปีที่ผมและเพื่อน ๆ อยู่ประมาณปีสี่ สถาปัตย์จุฬาฯ
ผมอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี เวลาประมาณพ.ศ.2524
ผมก็ได้รู้จักเรวัต พุทธินันทน์ และเปลี่ยนวิธีการเรียก
จากเต๋อเฉย ๆ แบบคนไม่รู้จัก มาเป็นพี่เต๋อ
พรรคพวกเรา ขี้เมาทั้งหลาย เริ่มทำงานได้ มีตังค์บ้าง ก็เริ่มเที่ยว
แต่ที่ที่ต้องไปเที่ยวไปฟังเพื่อสนองฝันให้ได้
นั่นคือ โรงแรมมณเฑียร สุริวงศ์
เพราะเรารู้กันว่า มีวงในฝันของเราเล่นอยู่หลายวง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอเรียนเต็ล ฟังก์
และพรรคพวกเรา ขี้เมาทั้งหลาย ที่เริ่มทำงานนั้น
ก็เพราะไปเขียนบท เสนอความคิดสร้างสรรค์ในรายการทีวีบางรายการ
จนได้เงินเดือนเป็นกอบเป็นกำ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่จบการศึกษา
หนึ่งในความคิดเหล่านั้น คือ
เอา เรวัตในฝันของเรามาออกโชว์ในรายการโชว์คั่นเกมโชว์
ผมจำไม่ได้แน่ว่า ผมรู้จักเรวัตให้เป็นพี่เต๋อ
เพราะเหตุที่เราไปเที่ยวโรงแรมมณเฑียร
หรือ เพราะพี่เต๋อมาเล่นรายการของเรากันแน่
เพราะมันใกล้เคียงกันนัก
จำได้เพียงแต่ว่า ถ้านึกถึงที่โรงแรมมณเฑียร
ก็จะนึกถึงตอนที่พวกเรานั่งกินเหล้ากันอยู่ บนโต๊ะใดโต๊ะหนึ่ง
นั่งดูโอเรียลเต็ลฟังก์เล่น
มีพี่ป้อมอัสนีเล่นกีตาร์นำ พี่ฑูรย์เล่นเบส
และพี่อีกหลายพี่ที่เล่น
ผมก็จะเขียนขอเพลง ไอ วอส ออนลี่ โจ๊กกิ้ง
ของร๊อด สจวร์ต ให้พี่เต๋อร้อง
เพราะผมชอบช่วงที่กีตาร์โซโล่ของเพลงนี้ด้วย
แล้วพี่เต๋อก็จะต้องร้องเพลง
ไอ ดอนท์ วอนท์ ทู ทอล์ค อะเบาท์ อิท ทุกคืน
เพราะมีคนขอทุกคืนเหมือนกัน (ซึ่งภายหลังพี่เต๋อบอกว่าเบื่อมาก
ร้องเพลงนี้ไม่ต่ำกว่าสองพันครั้งแล้ว
เชื่อว่าเยอะกว่าร็อด สจวรต์มันร้องเองซะอีก)
และใกล้ ๆ กันนั้น ก็คือ การเขียนบทรายการทีวี
ให้พี่เต๋อมาร้องเพลง คู่กับพี่ตุ๋ม นัดดา วิยะกาญจน์
ในเพลง เอนเลสส เลิฟ
ซี่งแปลงเนื้อเป็นภาษาไทยโดย พี่ตู้ จรัสพงษ์ สุรัสวดี
ซึ่งทำให้เพลงเอนเลส เลิฟ
มีเนื้อหาเกี่ยวกับทุเรียนก้านยาวได้อย่างแนบเนียน และไพเราะ
ซึ่งพี่เต๋อ และพี่ตุ๋มทำได้อย่างสนิทกลมกลืน
วันเวลาผ่านไป หลายปี ผมเป็นนักทำรายการทีวีไปด้วย
เอาเงินไปเรียนสถาปัตย์ขาด ๆ เกิน ๆ
ต้องทำงานหอกอิสระ (free lance) ไป รับเงินเดือนก็ไม่ได้ ยังไม่จบนี่
เรียนไป เที่ยวไป ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ โรงแรมมณเฑียร
เราไปนั่งเฝ้าพี่เต๋อกันอยู่เนือง ๆ
ครั้งแรก ที่พี่เต๋อมานั่งคุยเป็นงานเป็นการ
ที่โต๊ะของเรา ระหว่างพักการร้องเพลง
คือการที่พี่เต๋อพูดถึงสิ่งที่พี่เต๋อ อยากทำ
รายการทีวีสำหรับเด็ก ซึ่งกำลังจะไปเสนอทางช่องสาม
เราได้ยินกันก็หูผึ่ง สนอกสนใจ
แต่หลังจากนั้นพี่เต๋อก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก
พี่เต๋อเองก็คงยังไม่รู้ในตอนนั้นว่า
ในที่สุดพี่เต๋อจะได้ทำอะไรบางอย่าง ที่มากกว่านั้น
ประมาณปี 2524
ไอ้พวกขี้เมาชาวสถาปัตย์นอกคอก เริ่มหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มเติม
คุยกันไปคุยกันมา เกิดบ้าเพลงขึ้นมากระทันหัน
ช่วงนั้น จิก (ประภาส ชลศรานนท์ในขณะนั้นและขณะนี้)
มันมีเพลงบ้าบอของมันหลายเพลง เป็นที่ถูกใจเพื่อนฝูง
ก็เลยนิยมเวลาสรวลเสเฮฮา
เอามาร้องเล่นผสมครีเอทีฟและคอร์ดกีตาร์
จนกระทั่งพระเจ้าหรือซาตานหรือทาร์ซาน ก็ไม่แน่ใจ
ดลใจให้เรามุ่งมั่นว่าจะออกอัลบั้มซักอันหนึ่งให้ได้
จิกในฐานะ หัวโจก
ดำเนินการไปขอร้องการสนับสนุนจากพี่ ๆ ที่เจเอสแอล
ให้สนับสนุนเรื่องการเงิน
ส่วนในเรื่องการดำเนินงานทางด้านการอัดเสียง
เรานึกถึงใครไม่ออก นอกจากพี่เต๋อ ให้เป็นที่ปรึกษา
ในเวลานั้น คนไทยยังไม่รู้จักคำว่าโปรดิวเซอร์ เดโม
สมัยก่อนของผม เท่มาก
ผมเล่นกีตาร์ตัวเดียว เจี๊ยบร้องบ้าง บางเพลงผมลองร้องดูบ้าง
เพื่อนหลายคนมาสลับกันกดวิทยุเทป
เพื่อที่พี่เต๋อจะได้รู้ว่าทำนองเป็นยังไง เนื้อเป็นยังไง
ทุกวันนี้ยังงอนพี่เต๋อไม่หาย เพราะพี่เต๋อบอกว่า
ไอ้เจี๊ยบ ร้องได้ ไอ้ดี้ร้องไม่ได้ มันร้องเพลงเพี้ยน
ต้องไปหาคนมาร้องอีก ซึ่งก็กลายเป็นพี่เล็ก สมชาย ศักดิกุล
คนที่มีเฉลียงชุดแรกคงได้ฟังงาน ที่มีพี่เต๋อเป็นคนดูแลให้
ไปอัดเสียงกันที่ห้องอัดกมลสุโกศล ซึ๋งสมัยนี้
กลายเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้ ย่านซอยอรรถการประสิทธิ์ สาทร
มีพี่ ๆ เซียน ๆ มาเรียบเรียงเสียงประสาน มาเล่นกีตาร์
ทำให้เด็ก ๆ อย่างพวกเราตาลุกวาว มากมาย เช่น
พี่ป๊อก วิชัย อึ้งอัมพร พี่จีณ ปราจีณ ทรงเผ่า
คนที่ทำให้ผมจับคอร์ดกีตาร์ เพลงดิอิมพอสสิเบิลไม่ได้นี่แหละ
พี่ป้อม อัสนี โชติกุล มาเล่นกีตาร์ให้ และพี่อื่น ๆ อีกเยอะ
เราสนุกกันมากกับงานเฉลียงชุดแรกตามประสาเด็ก
ขายได้เท่าไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่ ๆ ที่ลงทุนให้เราน่าจะเดือดร้อน
และมีอนุสรณ์ที่จำได้อย่างหนึ่งคือ
หน้าปกเทป และแผ่นเสียง ที่ออกแบบโดยประภาสนั้น
มีไอเดียที่น่าสนใจ มีคอนเซปต์ที่ดี แต่ชุ่ยที่สุด
ไม่ได้มีความประณีตอะไรเลย
เส้นดินสอที่ร่างไว้ก็ไม่ลบ นัยว่าจริงใจดี แต่เบื้องหลังคือชุ่ย
ยังเก็บมาด่ากันเล่น ๆ ได้ถึงทุกวันนี้
หลังจากนั้น กอไผ่ก็บอกเราว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนก็ดำเนินชีวิตกันไป
และเราก็ไม่ได้เจอพี่เต๋อเลยอยู่พักหนึ่ง
จนกระทั่งจิกเดินมาโยนเทปเดโมทำนองเพลง ๆ หนึ่งให้ผมเขียน
เพลงประกอบหนังเรื่อง วัยระเริง
อำพล ลำพูน กับ วรรษมน วัฒโรดม เล่น ดาราใหม่ทั้งคู่
อาเปี๊ยก โปสเตอร์ กำกับ พี่เต๋อ เป็นคนทำเพลง
จิกเขียนเพลงยุโรป เฮฮาปาร์ตี้ ชีวิตนี้ของใคร
ผมเขียนเนื้อเพลง ดนตรีในดวงใจ
ในหนังเรื่องนั้น
นับว่าเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ทำแล้วเป็นอาชีพ
อาชีพแปลว่าได้สตางค์
ผมเขียนเพลงเข้าใจ ก่อนเพลงอื่นใด
เพราะเขียนตอนอยากเขียน เมื่อตอนปีสาม ปีสี่
เพราะบันดาลใจมาจากเพื่อน ที่มันทะเลาะกับแฟนเป็นประจำ
แฟนมันก็คือเพื่อนที่คบกันมาสามปีนี่แหละ
แต่พอมันเลิกเป็นแฟนกัน มันกลับคุยกันเข้าใจกันดี
ใครจะไปห้ามใจไม่แต่งเพลงไหวนะ
แต่เพลงเข้าใจเป็นเพลงส่วนตัวของพวกเพื่อนฝูงอยู่นาน
กว่าจะได้ไปออกอากาศก็อีกสามสี่ปีหลังโน่น
เมื่อเอาไปใส่ในชุดอื่น ๆ อีกมากมายของเฉลียงนั่น
สิ่งที่น่าพิศวงงงงวยจนมาถึงทุกวันนี้ก็คือว่า
เพลงแรก ในการเป็นอาชีพของผม คือ ดนตรีในดวงใจนี่น่ะ
บนหน้าปกแผ่น ในหนังวัยระเริง กลับไม่ใช่ชื่อผม
กลายเป็นชื่อเพื่อนอีกคนหนึ่ง
ที่ชื่อ วาชิต รัตนเพียร ที่มาร่วมสนุกตอนทำเฉลียงชุดแรก
และมีชื่ออยู่บนเฉลียงชุดแรกด้วย
จับมือไอ้จิกดมก็ไม่ได้ จับมือพี่เต๋อดมก็ไม่ได้
ไม่รู้ว่ามันสื่อสารผิดพลาดตรงไหน
ก็เลยขำขันเอา ไม่ได้เอาเป็นเอาตายอะไร
ประมาณปลายปี 2526 ซึ่งผมเรียนอยู่ปีที่หก
พี่เต๋อโทรศัพท์มาหาผมที่บ้าน
บอกว่า มีเพื่อนคนหนึ่งอยากทำรายการเพลงทางโทรทัศน์มาก
เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่ทำรายการวิทยุที่ชื่อ ผิวปากตามเพลง
ที่พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา)
เคยเป็นดีเจที่โด่งดังสุด ๆ ในขณะนั้น
ก็เลยเกิดเป็นรายการ “ผิวปากตามเพลง” ทางทีวีสีช่องเจ็ด
เวลาประมาณห้าทุ่มครึ่งวันพฤหัสฯเว้นพฤหัสฯ
นับเป็นรายการแรก ๆ เลยก็ว่าได้
ที่เป็นรายการเกี่ยวกับเพลงสตริงยุคใหม่
มีสัมภาษณ์ มีมิวสิกวิดีโอแฮนด์เมด
มีช่วงนั้น ช่วงนี้ เหมือนรายการสมัยนี้เลย
เพียงแต่ยังไม่ค่อยมีคำว่า สนับสนุนโดยสินค้าโน่นนี่
รายการนี้ก็มีพี่เต๋อเป็นพิธีกร ร่วมกับคุณเล็ก กิติศักดิ์
ดีเจที่โด่งดังมากในขณะนั้นอีกคนหนึ่ง
โดยมีผมเป็นผู้กำกับ เป็นโปรดิวเซอร์
ได้สัมภาษณ์ ทำงานกับนักร้องหลายคน
ผมเคยจับพี่ ๆ วงฮอทเปปเปอร์ซิงเกอร์
เดินร้องเพลงกลางสะพานรถไฟ แถวบางซื่อ
ต้องคอยเหลือบตาดูว่ารถไฟมาหรือเปล่า
จับคุณภูสมิง หน่อสวรรค์
ขึ้นไปเล่นกีตาร์ ลิปซิงค์บนต้นจามจุรีในจุฬาฯ
เล่นบนหลังคารถเก๋งแล้วให้แล่นไปตามถนน
คนมองกันทั้งถนนวิภาวดี
จับวงชาตรี วงคีรีบูน
ทำท่าทางประหลาด ๆ ในมิวสิควิดีโอแฮนด์เมดต่าง ๆ
รวมทั้งเคยจับคุณนันทิดา แก้วบัวสาย
นั่งคอยรถไอติมอยู่หน้าบ้าน
แล้วร้องเพลงคอย ในชุดนันทิดา 27
จำได้ว่าตอนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่ง
ขับรถเบ๊นซ์สีขาว มาส่งคุณตู่
แล้วก็นั่งคอยอยู่ราวกับเป็นผู้จัดการส่วนตัว
หน้าตาก็ประมาณสามสิบต้น ๆ แต่ผมขาวไปครึ่งศีรษะ
ไม่พูดไม่คุยกับใคร
และผมก็ไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักแต่อย่างใด
หมั่นไส้อยู่นิด ๆ ด้วยซ้ำไป
ภายหลังผมพบว่า หมอนั่น เป็นคนที่ผมเคยทำงานให้เขา
เคยเอาสตางค์ของเขามาลงทะเบียนเรียน
ตอนที่ผมได้ไปออกรายการยิ้มใส่ไข่
ทางทีวีช่องเก้า ก่อนหน้านั้นสองสามปี แต่ผมไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใคร
รู้แต่ว่าชื่อบริษัท พรีเมียร์มาร์เกตติ้ง
และรู้จักแต่พี่เล็ก บุษบา ดาวเรืองที่เป็นพิธีกร
ถ้าจะได้ยินชื่อเจ้าของบริษัทอยู่แว่ว ๆ
ก็ได้ยินว่า ชื่อ ไพบูลย์ ไพบูลย์
ส่วนที่เป็นดำรงชัยธรรมนั้น มารู้จักหลังจากนั้นหลายปี
ระหว่างนั้น ผมได้ยินมาไกล ๆ ว่า
พี่เต๋อ นอกจากจะเป็นพิธีกรให้ผมแล้ว ยังรวมหัวกันกับพวกพี่พี่
ที่พรีเมียร์มาร์เกตติ้ง ทำเพลงขึ้นมา
ตั้งแต่ชุดหมอพันทิวา
ที่เคยร้องเพลงในหนังเรื่อง เทพธิดาดอย จนดังไปทั่วเมือง
มาร้องเพลงนิยายรักจากก้อนเมฆ
ที่พี่เต๋อ บังคับให้ พี่เล็ก บุษบาดาวเรือง
เป็นคนเขียนเนื้อทั้งหมดนั่นแหละ
ลืมบอกไป ตอนนั้น นอกจากผมจะทำรายการทีวีนั่นแล้ว
ก็ยังเป็นนักจัดรายการวิทยุ อยู่ที่ ททท. ภาคดึก วันละชั่วโมงด้วย
นี่เพิ่งนึกออก ซึ่งต้องขอขอบพระคุณพี่สมพงษ์ วรรณภิญโญ
แห่งทีวีธันเดอร์ในปัจจุบัน
ที่ให้โอกาสทำในสมัยนั้น ความจริงต้องสารภาพตามตรงว่า
ประวัติศาสตร์ชีวิตช่วงนี้
ค่อนข้างจะคาบเกี่ยว และอีนุงตุงนังอยู่มาก
ไม่รู้อันไหนก่อนอันไหนหลัง
แต่ก็ไม่ห่างกันเท่าไหร่นักหรอกครับ
จำได้ประมาณว่า ช่วงปีสองเจ็ด ผมจบการศึกษา
รายการผิวปากตามเพลงเลิกไป รายการวิทยุก็เลิกจัด
ไปทำรายการเกมส์โชว์ทางช่องเก้า ชื่อเกมตั้งตัว
มีพี่ปุ๊ มนตรี เจนอักษร เป็นพิธีกร
กับแก้ว อภิรดี ภวภูตานนท์ ฯ และก็เปลี่ยนมาเป็น ซูโม่กิ๊ก
ซึ่งนับว่าเป็นรายการแรกของกิ๊ก ที่เป็นพิธิกรเลยทีเดียว
ช่วงนั้น พี่เต๋อเริ่มทำเพลงเต๋อหนึ่ง
เรียกผมไปหาที่ร้านวนคาม ซอยประสานมิตร
เพื่อไปฟังทำนองเพลงหนึ่งเพลง
ซึ่งเป็นเสียงคล้ายคาสิโอโทน ไม่มีคอร์ด ไม่มีเบส
เป็นเสียงเมโลดี้เพียว ๆ ไม่มีแม้แต่เครื่องกำกับจังหวะ
เป็นทำนองที่พี่ตั๋ม จาตุรนต์ เอมซ์บุตร เป็นคนทำ
พี่เต๋อบรีฟว่า
เป็นเรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านในนิทาน อะไรทำนองเนี้ยว่ะดี้
วันนั้นวันที่เท่าไหร่ ผมไม่ได้จำ เพราะไม่คิดว่ามันสำคัญ
มารู้ตอนหลังก็นึกเสียดายที่ไม่ได้จำ
เพราะวันนั้นคือ จุดผกผันของชีวิต
ที่ได้เริ่มการทำงานเป็นนักแต่งเพลงอย่างจริงจัง
และต่อเนื่องนับแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ สิบหกปี
ชุดแรกในเต๋อหนึ่ง
ผมยังได้รับเพลง ดอกฟ้ากับหมาวัด กับเพื่อนเอย มาแต่งอีกสองเพลง
แถมยังเอาเพลง ยิ่งสูงยิ่งหนาว
มาฝากให้เจี๊ยบ (วัชระ ปานเอี่ยม) ได้แต่งด้วย
หลังจากนั้นก็มีเพลงมาให้แต่งเรื่อย ๆ
โดยที่ผมไปรับเมโลดี้มาจากพี่เต๋อ
นัดกันที่ห้องอัดเสียงทอง (ป่านนี้ไม่มีแล้วมั้ง) บ้าง
ศรีสยามบ้าง
เป็นงานแหวนฐิติมา ชุดแรก ฉันเป็นฉันเอง
บาราคูดัส เช้าวันอาทิตย์ ทูน หิรัญทรัพย์
ช่วงนั้น ผมยังไม่รู้จักแกรมมี่สักเท่าไหร่
รู้จักแต่พี่เต๋อเท่านั้น
ผมเองก็ผจญภัยไปเรื่อย นอกจากทำรายการเกมตั้งตัวนั่น
ก็ไปเล่นละคร เป็นภารโรงเรื่องนายแพทย์สนุกสนานของจิกมัน
คืนหนึ่ง ขณะที่ผมไปเฮฮาที่บ้านอั๋น(วัชระ แวววุฒินันท์)
ผมโทรไปหาพี่เต๋อที่บ้านตามที่พี่เต๋อสั่งไว้
พี่เต๋อไม่ว่างรับ ผมเลยให้โทรกลับมาที่บ้านอั๋น
พี่เต๋อโทรมา เพื่อจะบอกว่า
พรุ่งนี้จะให้เอาเงินค่าแต่งเพลงไปให้ที่ไหน สองพันบาทน่ะ
ตอนนั้นที่ผมกำลังตึง ๆ อยู่พองาม ก็เลยไม่สามารถห้ามใจได้
กล่าวไปว่า พี่เต๋อครับ ผมไม่เคยเห็นคนแบบพี่นะ
คนในวงการเพลง วงการบันเทิง
ที่เค้าจะมาตามถามว่า จะเอาเงินไปจ่ายให้ได้ยังไงบ้าง
ผมเคยได้ยินแต่เบี้ยว กับเช็คเด้ง
พี่เต๋อก็ตอบประมาณว่า เอาเหอะ ดี้จะให้เราไปหาที่ไหน
ผมก็บอกแค่ว่า พรุ่งนี้ผมมีถ่ายทำรายการที่ช่องเก้าอสมท.ครับ
ในใจนึกถึงเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่เมา ๆ
ผ่านกลางคืน จนเช้า จนบ่ายไปทำงานที่ช่องเก้า
มีประโยคเดียวคือ
ถ้าผู้ชายคนนี้เอาเงินมาให้กูถึงที่จริง สองพันแค่นี้
กูจะจดไว้ในใจเลยว่า
ถ้าชวนกูไปหัวหกก้นขวิดกับชีวิตที่ไหน กูจะไปด้วย
เขามาครับ เรวัต พุทธินันทน์ มาครับ
ขับรถมาสด้า 626 สีขาว มาจอด
แล้วเดินเข้ามาตอนที่ผมกำลังทำรายการอยู่
มาเพื่อจะเอาเงินมาให้สองพันบาท แล้วก็ไป
ผมทำรายการเกมโชว์นั้นอยู่อีกไม่นาน ก็เลิกล้มไปอีก
เริ่มมีโปรเจคเป็นละครเรื่องใหม่ ชื่อ เมฆินทร์พิฆาต
ละครที่ทำให้พงษ์พัฒน์กับธัญญา โสภณ ได้พบกันน่ะแหละ
ผมก็เล่นเป็นพระครูอะไรไม่รู้ แก๊แก่
พอละครเรื่องนี้จบลง ก็กำลังจะพยายามจะหาโปรเจคใหม่
สำหรับความรับผิดชอบต่อเงินเดือนของตัวเอง
และในวันหนึ่งก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เป็นเสียงโทรศัพท์ประวัติศาสตร์ของชีวิตส่วนตัว
บ่ายวันหนึ่งวันนั้น อย่าว่าแต่วันหรือดือนเลย
ปีไหนก็ยังไม่แน่ใจ สองแปด หรือสองเก้า
มีเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานผม ผมก็รับอย่างเป็นปกติธรรมดา
เป็นเสียงแหบ ๆ ของพี่เต๋อ
ที่เริ่มมีน้ำหนักของความมั่นใจ ที่จะชวนผมไปทำงานด้วย
ต้องบอกก่อนว่า คนดี ๆ ในสมัยนั้นเขาไม่ทำกันหรอก
ในเรื่องที่จะชวนใครสักคนไปทำงานเต้นกินรำกิน เขียนกิน
แล้วบอกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าจะยึดถือเป็นอาชีพได้
พี่เต๋อชักแม่น้ำทั้งห้า ทั้งเจ็ด ทั้งยี่สิบแปด
ทั้งสามร้อยหกสิบห้า ผมก็ยังเฉย
พี่เต๋อคงเตรียมคำพูดมาอยู่นานมาก
พี่เต๋อคงจะสร้างฐานไว้นานมาก
แต่สำหรับผม
คนที่ได้เงินค่าแต่งเพลงจากพี่เต๋อ โดยที่ไม่ต้องทวงถาม
แถมลูกหนี้คนที่ชื่อเต๋อ ขับรถมา
เพื่อจะเอาเงินสองพันบาทมาให้ ณ ที่ที่ผมกำลังทำงานอยู่
ผมไม่สนใจคำหว่านล้อมของพี่เต๋อเลย
พี่เต๋อบอกว่า เฮ้ย ไอ้ดี้ เราไม่เคยอยากให้ดี้ออกจากงานนะเว้ย
ผมไม่สนใจคำหว่านล้อมเลย ผมฟังอยู่เกือบชั่วโมง
ผมรออยู่แค่ว่าเมื่อไหร่พี่เต๋อจะให้ผมตอบบ้าง
แล้วก็เมื่อถึงเวลาที่พี่เต๋อถาม ผมก็แค่ตอบว่า
ผมไปด้วยครับพี่
แล้วผมก็ได้รับนัดให้ไปเจอคุณไพบูลย์กับพี่เต๋อ
ที่อาคารวาณิช ชั้นสิบเก้า
จำได้ว่า
เป็นการได้พบคุณไพบูลย์ อย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก
คุณไพบูลย์และพี่เต๋อนั้น
ดุจดังเป็นหัวหน้าใหญ่ทั้งคู่ของแกรมมี่ ในระยะเริ่มแรก
ก็ยังไม่มีแม้แต่ห้องทำงานส่วนตัว เพื่อจะเจรจาอะไรสักอย่าง
ในวันนั้น คุณไพบูลย์ก็เลยต้องไล่ช่างตัดต่อในห้องตัดต่อ
ที่กำลังทำงานออกไปก่อน เพื่อที่จะได้คุยกับผม
คุณไพบูลย์ เสนอให้ผมเป็นเงินเดือนเดือนละหนึ่งหมื่นบาท
แต่งเพลงอีกต่างหากอีกเพลงละหนึ่งพัน
ซึ่งสมัยนั้น ปกติแต่งเพลงหนึ่งก็ได้เพลงละสองพันบาทอยู่แล้ว
ผมก็เลยเห็นว่า ถ้าเดือนไหนแต่งสิบเพลง(ซึ่งเป็นไปแทบไม่ได้)
ก็คือเจ๊ากัน เหมือนไม่มีเงินเดือน
ก็เลยพาซื่อต่อรองแบบเด็ก ๆ ไปว่า ผมขออย่างนี้ดีกว่าครับพี่
ผมขอเดือนละสองหมื่นบาท แต่งเพลงต่างหากอีกเพลงละสองพัน
เอาเป็นว่าสองเท่ามันเสียทั้งสองอย่าง จะได้ไหมครับ
ซึ่งเป็นการต่อรองที่น่าเกลียดที่สุด ในชีวิตครั้งหนึ่ง
คุณไพบูลย์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตกลง
และตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้
ผมก็ไม่เคยต่อรองอะไรกับเขาอีกเลย เพราะไม่ใช่วิธีใช้ชีวิตของผม
(เรื่องราวนี้เคยคุยให้คุณไพบูลย์ฟัง เมื่อสิบกว่าปีให้หลัง
แกไม่ยอมรับ แกบอกไม่จริง
แกบอกแกไม่มีวันจะยอมผมอย่างง่าย ๆ ขนาดนั้น
แล้วก็หัวเราะกันไป)
ตั้งแต่นั้นมา
ผมก็เป็นนักแต่งเพลงอาชีพ มีสังกัดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
โดยที่มีพี่เต๋อเป็นเจ้านาย และมีคุณไพบูลย์เป็นคนจ่ายเงิน
ผมกลายเป็นนักแต่งเนื้อเพลงคนที่สองของแกรมมี่
โดยมีพี่เต๋อเป็นคนที่หนึ่ง (หากไม่นับคุณพี่เล็กบุษบาดาวเรือง
ซึ่งเขียนเนื้อเพลงชุดนิยายรักจากก้อนเมฆ
ของพญ.พันทิวา สินรัชตานันท์ ชุดเดียวแล้วเลิกไปเลย)
พี่เต๋อจะลงไปเขียนเองทุกเพลงในงานชุด ฝากฟ้าทะเลฝัน
ชุดแรกของเบิร์ด ธงไชย
ซึ่งในตอนนั้นแกยังร้องเพลงสไตล์เสียงใหญ่ ๆ
แบบประกวดสยามกลการอยู่เลย กว่าจะมาร้องแบบที่ได้ยินกันนั่น
พี่เต๋อก็เหงื่อตกไปหลายเหมือนกัน
ส่วนผมก็ตกหนัก ในชุดนันทิดา
ชุดที่มีเพลงฉันยังปอด ๆ อะไรนั่น
ซึ่งเป็นเพลงที่ผมยังอายอยู่ไม่หายจนทุกวันนี้
เขียนคนเดียวเกือบทั้งชุด
มีไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ บ้างเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นปรัชญ์ สุวรรณศร
หรือ น้องอิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ก็ได้มาไม่มาก
พี่เต๋อเกือบจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมหมด
ในเรื่องการดูแลเนื้อร้อง ชุดแรก ๆ
ไม่ว่าจะเป็นแหวนชุดที่เพลงเรามีเรา ไมโครชุดที่มีรักปอนปอน
ก็เป็นผมต้องนั่งหลังแข็งเขียนเองไปเกือบหมด
ช่วงนั้นเอง
ก็ได้เวลา ที่ผมจำต้องหาคนมาช่วยอย่างเป็นงานเป็นการ
สีฟ้า พี่เขตต์อรัญ พี่ป๋อง อรรณพ จันสุตะ
หรือ น้าประชา พงศ์สุพัฒน์ ก็เข้ามาในช่วงนี้
ซึ่งทำความหนักใจให้ผมอย่างมาก
เพราะชื่อเหล่านั้น
เป็นครูสอนดนตรี และนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว
เพียงแต่ยังไม่เคยทำงานแบบที่เราต้องการ
ข้อสำคัญคืออาวุโสกว่าผมมาก
แล้วผมมันเป็นใครที่ไหน ที่จะต้องมานั่งคอยวิพากษ์วิจารณ์
ด้วยความที่ต้องรับผิดชอบ ก็เลยต้องทำ
กว่าจะทำให้พี่ ๆ เ หล่านั้นเชื่อถือ ไว้ใจ
ทั้งทางด้านเหตุผลในการวิจารณ์งาน เพื่อให้ได้เป้าหมาย
และไว้ใจว่า
ผมจะดูแลพี่ ๆ อย่างดีที่สุดเท่าที่จะมีกำลัง ก็ผ่านไปหลายปี
และนี่คือสิ่งที่ผมภูมิใจที่ทำให้พี่ ๆ เหล่านั้นไว้ใจผมได้
ภูมิใจยิ่งกว่าเขียนเพลงออกมาได้ดัง ๆ
อย่าง เพลงเรามีเรา หรือรักปอนปอน ในสมัยนั้นด้วยซ้ำ
ผมภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับพี่เต๋อ และนักดนตรีระดับเซียน
อย่าง พี่ป๊อก วิชัย อึ้งอัมพร พี่ตั๋ม จาตุรนต์ เอมซ์บุตร
พี่ฑูรย์ ไพฑูรย์ วาทยะกร พี่ป้อม อัสนี โชติกุล
ส่วนที่ตามมาก็มี ป้อม อภิไชย เย็นพูลสุข
โอม ชาตรี คงสุวรรณ พี่ปื๊ด สมชาย กฤษณะเศรณี
พี่ฉ่าย สมชัย ขำเลิศกุล อ้อม ชุมพล สุปัญโญ
เป็นที่เหนียวแน่น และมั่นคงอยู่ได้
เพราะความเป็นผู้นำ ยุติธรรม ชัดเจน ของพี่เต๋อจริง ๆ
ไม่ได้พูดเพราะว่าเห็นพี่เขาไม่อยู่แล้ว ก็จะมายกย่องกัน
ส่วนทีมเนื้อร้อง ก็จะมีสีฟ้า พี่เขตต์ พี่ป๋อง น้าประชา
เป็นกลุ่มแรก มีหลายอารมณ์ด้วยกัน
สีฟ้าก็น้ำตาท่วม พี่เขตต์ก็จะปรัชญาเมธี
พี่ป๋องก็ไปทางสนุกสนานน่ารัก น้าประชาเป็นเพลงครีเอทบ้า ๆ
ส่วนผมก็จะเป็นพวกเขียนเพลงปากจัดไปตามประสา
อีกไม่นาน ก็มีการที่ผมต้องเปิดโรงเรียนส่วนตัว รับสอนเขียนเพลง
ใช้เวลาทุกอาทิตย์ เป็นเวลาสองปีเป็นอย่างต่ำ
ก็จะได้จักราวุธ แสวงผล สุรักษ์ สุขเสวี วรัชยา พรหมสถิต
นวฉัตร อาจารย์จุ๋ม เข้ามาเป็นพรรคพวกรุ่นใหม่
ความจริงที่มาที่ไปของแต่ละคนนี่
น่าจะให้พวกเค้ามาเล่าให้ฟังก็น่าจะดี
แนะนำทีมงานที่เราทำงานด้วยกัน พอจะเห็นว่าใครเป็นใครแล้ว
จากนั้น เทปที่อัดรายการชีวิตไว้
มันหมุนเร็วมาก เสียจน ไม่อาจจะเล่าให้ฟังได้ทั้งหมด
ประเด็นก็คือ เราก็ได้ร่วมหัวจมท้าย
ถูกพี่เต๋อบอกว่า
พวกมึงยอดมาก กับพวกมึงโคตรมั่วเลย สลับไปมากันตลอด
จะนับปีก็เป็นสิบปี จะนับเพลงก็คงเป็นพันเพลง
บังเอิญตรงนี้ ไม่ได้เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ อันละเอียด
ก็เลยไม่ต้องเล่า
พี่เต๋อเป็นผู้ชายที่เป็นคนธรรมดา
เป็นลูกผู้ชาย เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องนิยมน้ำใจ
เป็นลูกพี่ที่ลูกน้องที่แสนจะมีความหลงตัวเอง
ยอมเชื่อทำตาม โดยที่หน้าก็ยังยิ้มอยู่
คนทำงานกับพี่เต๋อ มีแต่เหนื่อย แต่ไม่มีอึดอัด
สิ่งที่พี่เต๋อมีคือ
พี่เต๋อเอาใจเข้าไปหมั่นตรวจสอบเพื่อนฝูงและน้อง ๆ ทุกคน
ว่า มึงมีปัญหาชีวิตอะไรกันบ้างหรือเปล่า
ในสังคมบ้านเรามันมีเยอะนะครับ
ที่ชื่อเสียงดี คนไกลเลื่อมใส แต่คนใกล้อยากจะอ้วก
พี่เต๋อไม่ใช่ พี่เต๋อฟังลูกน้องก่อนแล้วจึงสอน
พี่เต๋อเป็นคนที่ภาพลักษณ์ดี แต่จริง
คนนอกเลื่อมใส คนในก็นับถือน้ำใจ เที่ยวห่วงทุกคนไปเสียหมด
ดูแลชีวิตเพื่อนฝูง ลูกน้องอย่างจริงใจ ไม่ใช่แค่พูดให้หวาน ๆ
จำเด็ก ๆ ทำงานได้หมดไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย
พี่เต๋อมีคำว่าขอบคุณจ้ะ กับทุกคนทุกครั้ง
แม้จะเป็นเด็กเสริ์ฟกาแฟ
บ่อยครั้งมากในระยะหลัง
พวกเราก็จะแห่กันไปทำงานที่บ้านพี่เต๋อ
ที่ซอยลาดพร้าว 31 ทุกวันเสาร์ ได้งานที่ดี ได้คุยกันสนุกสนาน
พี่เต๋อก็จะให้กินข้าวปลาอาหารอย่างดี
ที่พี่อี๊ด ภรรยาพี่เต๋อจะคอยดูแลไม่ได้ขาด
เหล้ายาปลาปิ้งก็จะพร้อมพรัก โดยที่พี่เต๋อเองไม่ดื่มเลย
อย่างมากก็มีไวน์แดงสักแก้วสองแก้วแค่นั้น
ในขณะที่พวกเรา โดยเฉพาะผม ก็จะซัดไปเต็มคราบ
เมื่อก่อนพี่เต๋อคงดื่มจัดอยู่แล้ว
สมัยเล่นดนตรีกลางคืนเป็นเวลาสิบ ๆ ปี
จู่ ๆ ก็ตัดใจเลิก ด้วยเหตุผลว่า
มันทำให้การทำงานมันมีประสิทธิภาพน้อยลง
แล้วพี่เต๋อก็เลิกมันไป
มีแต่ข้อเสียคือเลิกบุหรี่ไม่ได้ และค่อนข้างจะสูบหนัก
การไปทำงานบ้านพี่เต๋อ
คือการส่งเพลง ตรวจเพลงให้พี่เต๋อเขาด่าบ้าง ขำบ้าง ชอบใจบ้าง
ซึ่งทุกคนก็สนุกกันดีไม่มีเครียด
ไม่ว่าจะทั้งฝ่ายดนตรี หรือฝ่ายเนื้อร้อง ที่ผมดูแลอยู่
จากนั้นพอได้เวลา เราก็จะนั่งเชียร์บอลดิวิชั่นหนึ่งอังกฤษ
(ที่สมัยนี้เป็นพรีเมียร์ลีก) หรือบอลกัลโช่ ของอิตาลี บอลโลก
ยุคที่ มาร์โคแวนบาสเทน รุด กุลลิจ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด
กำลังรุ่งเรืองอยู่ในทีมฮอลแลนด์
พี่เต๋อจะเรียกมันว่า ไอ้ร้ายกาจ
แล้วก็จะส่งเสียงเชียร์บอลกันอย่างไม่เกรงใจใคร
พี่เต๋อจะแสดงนิสัยทีไม่เคยยอมแพ้อะไร แม้กระทั่งเล่นวิดีโอเกม
ผมเคยเล่นเกมฟุตบอลกับแกหลายที แกก็จะลุ้นเอาเป็นเอาตาย
แต่หัวเราะตลอด จะต้องเอาชนะให้ได้
ซึ่งผมก็ไม่มีทางยอมง่าย ๆ ซะหรอก
พี่เต๋อมีวิญญาณแห่งการต่อสู้ตั้งแต่ในชีวิต ที่ดำเนิน
ไม่เว้นแม้ตอนเล่นเกมวิดีโอ
วันหนึ่ง หลังจากความสุขกำลังล้อมรอบการทำงานเราอยู่นั้น
ผมก็ได้ข่าวมาจากเลขาฯของผมว่า
พี่เต๋อไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลสมิติเวช
เมื่อประมาณปลายเดือนพ.ย.38 แล้วก็ได้พบบางอย่างอยู่ในสมอง
ผมสั่งให้ทุกคนเช็คว่ามันคืออะไร อย่าเพิ่งตกใจกัน
เราพากันไปที่นิวยอร์ค เพื่อยืนยันว่า
สิ่งที่พี่เต๋อเป็นนั้น เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
เราทุกคนเชื่อแบบนั้น
ตั้งแต่ตอนผ่าตัด จนถึงพักฟื้นเป็นเวลาหลายเดือน
พี่เต๋อเหมือนเดิม ห่วงงาน ห่วงพรรคพวก มุขยังปล่อยออกมาตลอด
จนกลับมาเมืองไทย ก็ตัดคำว่าอันตรายไปจากความคิดของทุกคน
เรากำลังเริ่มจะวางแผนอนาคตการงานกันต่อ อย่างหน้าตาเฉย
เหมือนพี่เขาเพิ่งไปผ่าไส้ติ่งมา
อีกไม่นานจากนั้น พี่เต๋อ ก็กลับเข้าไปที่สมิติเวชอีก
เพราะไอ้เนื้อบ้านั่น มันกลับมาอีก
เราก็ได้แต่เชื่อว่า มีทางแก้ไข
ในขณะเดียวกัน ผมก็เข้าไปทำตัวเป็นลิงเป็นค่าง
ให้พี่เต๋อได้หัวเราะน้ำหูตาไหลได้ตลอด
ให้พี่ได้ฟังเพลง เทาเวอร์ ออฟ เพาเวอร์ ที่พี่ชอบ
แต่หลังจากนั้น ดูเหมือนว่า พระเจ้าทรงอยากได้พี่เต๋อมากกว่า
ก็พาพี่เต๋อไปอย่างสุภาพ และสงบ
ไม่มีใครจะขัดใจพระเจ้าได้เลย
นับจากวันนั้นพี่ชายใจดีของผม
ก็เป็นตำนานเล่มใหญ่ที่เพิ่งเขียนจบ
ตำนานอีกเล่มหนึ่งในวงการดนตรีของประเทศไทย
ตำนานของการบุกเบิกการแต่งเพลง
การผลิตเพลง การอัดเสียงในวิธีของสากล
ตำนานของคำว่าโปรดิวเซอร์คนแรกของเมืองไทย
และที่สำคัญคือ เป็นผู้แผ้วถาง
ให้อาชีพนักร้องนักแต่งเพลง มีเกียรติ ศักดิ์ศรี
พร้อมทั้งมีทรัพย์อันเหมาะควรแก่วิชาชีพ
อย่างยุติธรรมเฉกเช่นสากล
ไม่ใช่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุนเจ๊กแป๊ะรุ่นเก่า
ไม่ใช่ต้องเป็นศิลปินไส้แห้ง
อย่างที่ยุคโบราณเคยค่อนแคะและเหยียดหยาม
พี่เต๋อจะอยู่ส่วนไหนของฟ้าในวันนี้ ผมไม่ทราบ
แต่ถ้าดูจากสิ่งที่พี่ทำไว้เมื่อตอนยังพบเห็นกันอยู่
ผมคิดว่าพี่เต๋อคงอยู่ประมาณชั้นเพนท์เฮาส์ของสวรรค์
แล้วเมื่อถึงเวลา
พวกผม ก็คงตามไปทำเพลงกับพี่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น